จังหวัดสุรินทร์
เป็นถิ่นฐานของชาวไทยเชื้อสายกูย ซึ่งเป็นชนเผ่าที่เชี่ยวชาญการจับช้าง เลี้ยงช้าง
และฝึกช้างมาแต่อดีตกาล แม้วันนี้การคล้องช้างป่าจะยุติไปแล้วแต่พวกเขายังเลี้ยวช้างไว้ดั่งสัตว์เลี้ยงของครอบครัว
ชาวสุรินทร์ได้เคยทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยมาแล้ว และเมื่อ "การแสดงของช้าง"
ไดถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2503 นั้น ทำให้นามของจังหวัดสุรินทร์เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
งานแสดงช้างจังหวัดสุรินทร์
ได้กำหนด
จัดงานนี้ในวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่สองของเดือนพฤศจิกายน ทุกปี สนามกีฬากลางจังหวัดสุรินทร์
ถือเป็นงานประจำปีระดับชาติแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลกมาร่วมชมงานนี้
เป็นงานแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย และจังหวัดสุรินทร์การแสดงของช้างประกอบด้วยการแสดงคล้องช้างการชักคะเย่อ
ระหว่าง ช้างกับคน ช้างแข่งฟุตบอล ขบวนช้าวศึก รวมทั้งการแสดงศิลปะพื้นเมือง
เช่น รำเรือนอัมเร เซิ้งบั้งไฟ ฯลฯ
งานประเพณีบวชนาคแห่ช้าง
(ประเพณีบวชช้าง)
จัดขึ้นในวันขึ้น 13 - 15 ค่ำ เดื่อน 6 (ราวกลางเดือนพฤศภาคมของทุกปี
) ณ วัดแจ้งสว่าง บ้านตากลาง อ.ท่าตูม จะมีการแห่แหนบรรดานาคด้วยขบวนช้างกว่า
50 เชือก ข้ามลำน้ำมูลกันอย่างเอิกเกริก, พิธีโกนผมนาค, พิธีแห่นาคช้างไปสักการะสิ่งศักดิ์
ที่ศาลเจ้าพ่อวังทะลุ และพิธีอุปสมบทนาค
ความเป็นมา
ชาวจังหวัดสุรินทร์ทั้งเขมร
ลาว กวย ล้วนนับถือพุทธศาสนาทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อลูกชายอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
ก่อนที่จะมีเหย้ามีเรือน พ่อแม่จะต้องจัดการบวชลูกชาย เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาเสียก่อน
ซึ่งส่วนมากจะทำก่อนเข้าพรรษา เพราะถือว่าถ้าได้เข้าพรรษาจะได้บุญมาก
เนื่องจากเป็นช่วงที่พระภิกษุเคร่งพระวินัยมากกว่าระยะอื่น
ประเพณีการบวชนาคสมัยก่อนนั้น
นับว่าเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เพราะชายหนุ่ม (บิดา มารดา) ในละแวกเดียวกันจะนัดกันบวชพร้อมกัน
การบวชนี้ถ้าจะให้ได้ชื่อเสียงหรือบุญมากจะต้องขี่ช้าง แล้วแห่ไประยะไกล
ๆ มีผู้คนร่วมขบวนแห่นาคเป็นจำนวนพันส่วนหนุ่มสาวก็จะถือโอกาสพบปะพูดคุยกันในงานนี้
การแต่งตัวเพื่ออวดกันนับเป็นสิ่งที่นิยมกันมาก สิ่งที่นิยมอวดกันในงานนี้มากที่สุดดูเหมือนจะเป็นผ้าไหม
(ซิ่นไหม) ถ้าหากใครมีผ้าซิ่นไหมมัดหมี่ลายสวยงามก็จะได้รับการชื่นชมเป็นพิเศษ
งานประเพณีบวชนาคของชาวกวยหมู่บ้านช้างบ้านตากลางและหมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลกระโพ
อำเภอท่าตูม ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 13 14 และ 15 ค่ำเดือนหกทุกปี
ถือว่าเป็นงานประเพณีบวชนาคที่ยิ่งใหญ่ร่วมแห่นาคหลายพันคนและมีขบวนแห่ยาวไกลไม่น้อยกว่า
2 กิโลเมตร
ช้าง
ช้างในปัจจุบันมี 2 ตระกูลใหญ่ๆ คือช้างพันธุ์อินเดียหรือพันธุ์ไทย
และช้าง อัฟริกา ช้างตกมันราวเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ช้างพลานตัวใดไม่ตกมันแสดงว่าเป็นโรคไม่สบาย
หากไม่ตกมันควร หาที่อุดมสมบูรร์ให้อยู่ บางทีอาจจะพบในตัวเมียแต่น้อยมาก
ปกติช้างจะตกมันเมื่ออายุ 15 ปี ที่ประเทศลาวให้ช้างกิน น้ำเต้าต้ม
5-6 ลูกจะช่วยบรรเท่าความเมามัน ช้างนอน ตอนสายโดยเฉพาะตอนเที่ยงที่อากาศร้อน
จะออกหากินราวบ่าย 4 โมง ช้างบางตัวยืนหลับ บางตัวเอาหัวลงดินตะแคงและวางราบ
ธรรมชาติของช้างะทนต่อความร้อนได้น้อยมากะชอบอยงุ่ใต้ร่มไม้ 9-10 ชั่วโมง
มักอ่อนเพลีย ในตอนเที่ยงมันเอางวงเข้าไปในปากแล้วดูดเอาน้ำออกมาจากกระเพาะ
นอกจากนี้ช้างยังชอบที่จะสาดทรายหรือโคลน ใส่หลังป้องกันแมลง ช้างเป็นสัตว์บกขนาดใหญ่ที่ใครพบเห็นมักจะเกิดความเอ็นดู
โดยเฉพาะลูกช้าง แต่พูดถึงงานแสดงช้างใครๆ ก็ต้องพูดถึง สุรินทร์ ปัจจุบันได้กลายมาเป็นงานประเพณีที่นักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศรู้จักและเป็นงานที่
เชิดชูตาให้กับ ชาวสุรินทร์อีกงานหนึ่ง
สัดส่วนของช้าง
ความสูง ช้างอินเดียโดยเฉลี่ยสูปงประมาณ
9 ฟุต ตัวเมียประมาณ 8 ฟุต ช้างที่คลอดใหม่ๆ สูงโดยเฉลี่ยประมาณ 3
ฟุต ช้างอัฟริกาสูงไม่เกิน 12 ฟุต น้ำหนัก ช้างที่สมบูรณ์ สูง 8 ฟุต
3 นิ้ว หนัก 3 ตัน วัดรอบอกประมาณ 18 นิ้ว ต่อความสูง 1 ฟุต นิสัย
ช้างส่วนใหญ่จะทำงานก็ต่อเมือได้รับคำสั่งเท่านั้น น้อยมากที่จะทำเพราะต้องการทำประโยชนน์
แก่เจ้าของ นอกจากจะฝึกไว้เป็นพิเศษ ช้างจะไม่ช่วยเจ้าของแม้จะถูกทำร้ายต่อหน้าของมันแต่มันก็เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์
ช้างเลี้ยง มีแต่พันธุ์อินเดีย ไม่ค่อยมีช้างอัฟริกา ส่วนใหย่นิยมล่ามากกว่าจับมาเลี้ยง
การตั้งครรภ์
ช้างตั้งครรภ์ 640 วัน หรือ 12
เดือน อาจจะอยู่ในช่วง 17-23 เดือน ช้างคลอดใหม่ๆ จะมีน้ำหนักประมาณ
200-220 ปอนด์ โดยมากช้างจะคลอดลูกครั้งละ 1 ตัว ช้างจะกินนมอย่างเดียวอยู่
6 เดือนจึงเริ่มกินหญ้าและใบไม้ แต่ยังกินนมต่อไปอีกนาน ช้างมักจะทับในเวลากลางคืนของฤดูร้อน
คลอดราวเดือนมกราคม ก่อนคลอดช้างจะ ดูยากจึงไม่รู้ว่าช้างจะคลอดตอนไหน
กว่าจะรู้ช้างก็คลอดพอดี อายุ ช้างป่าอายุจะยืนยาวกว่าช้างบ้าน คือ
ประมาณ 150 ปี ช้างบ้านประมาณ 40 ปี

|