ฟังเพลงของชนพื้นเมืองสุรินทร

การฟ้อนรำของชาวจังหวัดสุรินทร์ที่พูดภาษาเขมร

วัฒนธรรมถือเป็นมรดกร่วมของกลุ่มชน            การสร้างสรรค์   สังคมสืบทอดวัฒนธรรมเป็นกิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ทุกยุค   ทุกสมัย   การฟ้อนรำเป็นส่วนหนึงของวัฒนธรรมที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้น   จากเงื่อนไขสภาพแวดล้อมของแต่ละถิ่น   เป็นมรดก ที่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น   ๆ  สั่งสม  สืบทอด   ปรับเปลี่ยน   เพื่อความเหมาะสมตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป   วิธีการสืบทอด   ยาศัยการบอกเล่า  จดจำ   ทำตามครูรู้แบบซึมซับและรับด้วยความพึงพอใจ   การฟ้อนรำพื้นบ้านถือเป็นมรดกร่วมกันของกลุ่มชาวบ้านเป็นต้นคิดเป็นผู้เล่น   และสืบทอดโดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนองความ ต้องการของชาวบ้าน   ลักษณะของการฟ้อนรำพืเนบ้านจะใช้ภาษาถิ่น   ท่วงทำนองลีลาเฉพาะถิ่นเป็นรูปแบบ

กำเนิดของการฟ้อนรำในจังหวัดสุรินทร์         

การฟ้อนรำในจังหวัดสุรินทร์   อาจมีกำเนิดมาจากสาเหตุต่าง   ๆ  ดังนี้

  ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจเร้นลับเหนือธรรมชาติ มนุษย์แต่เดิมมีความเชื่อในเรื่องสิ่งศึกดิ์สิทธิ์   ภูติผีปีศาจ   วิญญาณบรรพบุรุษ  เทวดา   เมื่อทำผิดอะไรไป  เช่น    การตาย  น้ำท่วม   ทำนาไม่ได้ผล   เกิดความแห้งแล้ง   หรือไฟไหม้ก็คิดว่าตนได้กระทำผิดและเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์   หรือภูติผีปีศาจ   สามารถให้คุณและโทษแก่มนุษย์ได้จึงมีการบวงสรวงเพื่อขอขมา   หรือทำให้สิ่งเหนือธรรมชาติพอใจโดยจัดเครื่องเซ่นสังเวย   มีผู้ติดต่อกับเทพหรือวัญญาณต่าง   ๆ   มีการขับร้องฟ้อนรำถวายเพื่อเป็นการบวงสรวง   ดนตรีและการละเล่นพื้นบ้านสุรินทร์ที่เกิดขึ้นจากความเชื่อนั้น   เช่น  เรือมมม็อต  เรือมตรต(ตรุษ)   มองก๊วลจองได  เป็นต้น

การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ   ในสังคมเกษตรกรรมชาวบ้านจะทำงานช่วยเหลือกันเป็นหมู่คณะ   ซึ่งเรียกว่าการลงแขกเป็นการแสดงน้ำใจเอื้อเผื้อต่อเพื่อนบ้านปลูกฝังความสามัคคี   เช่น  ลงแขกเกี่ยวข้าว   ลงแขดำนา  เป็นต้น   การที่ชาวบ้านมารวมกลุ่มร่วมมือกัน   ย่อมมีการแสวงหาความบันเทิงใจ   หรือต้องการผ่อนคบายอารมณ์    จึงมีการคิดการแสดงและการละเล่นต่าง   ๆ  ขึ้น  เช่น   เกิดการร้องเพลงเกี่ยวข้าว   เกิดรำเต้นกำรำเคียว   เป็นต้น   การฟ้อนรำของจังหวัดสุรินทร์ที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าว   เช่น  เรือมอันเร  (รำสาก)   เป็นการเล่นเพื่อความสนุกสนาน   หลังจากว่างเว้นจากการทำนา

  การเลียนแบบธรรมชาติ   ธรรมชาติมีอิทํธิพลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้มนุษย์คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง   ๆ  ขึ้น   การฟ้อนรำที่คิดประดิษฐ์ท่ารำมาจากการลอกเลียนแบบกิริยาของสัตว์   เช่น  เรือมกระโน้บติงตอง   เป็นการเลียนแบบลีลา   ท่าทางของตั๊กแตนซึ่งกำลังเกี้ยวพาราสีกัน   นอกจากนี้ยังมีท่ารำที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ   เช่น  ท่ามะโลบโดง   (ร่มมะพร้าว)   ในรำเรือมอันเรซึ่งนำเอาลีลาของใบมะพร้าว   ต้นมะพร้าว   เวลาโดนลมพัดโอนเอนไปมา   แล้วใช้ภาษาท่าทางนาฏศิลป์เข้าประกอบเพื่อความสวยงาน   เป็นต้น

เกิดขึ้นจากความต้องการความสนุกสนานและประโคม   ในงานเทศกาลบุญประเพณีของหมู่บ้าน   ชาวบ้านจะคิดการแกดงที่จะทำให้เกิดความสนุกสนานหรือเป็นการประโมจึงมีการละเล่นหรือการแสดงประจำท้องถิ่นขึ้น   เช่น  การละเล่นกันตรึม   เรือมอาไย  มองก๊วลจองได   ระบำรำกรับ  ระบำศรีขรภูมิ   เป็นต้น

การฟ้อนรำที่เกิดจากอาชีพในท้องถิ่น   เป็นการฟ้อนรำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นจากการประกอบอาชีพต่าง   ๆ  ในท้องถิ่น  เช่น   การเลี้ยงไหม  ทอผ้า   มีการนำขั้นตอนการเลี้ยงไหม   จนถึงขั้นตออนการทอผ้าเป็นลายต่าง   ๆ   มาประดิษฐ์เป็นท่ารำโดยเสริมแต่งลีลาทางนาฏศิลป็เข้าไป   เกิดเป็นระบำศรีผไทสมันต์ขึ้น   นอกจากนี้ก็มีระบำปั้นหม้อ   จากอาชีพการปั้นหม้อโดยนำขั้นตอนจากการปั้นหม้อดินมาประดิษฐ์เป็นท่าฟ้อนรำให้สวยงามขึ้น   เป็นต้น

เกิดจากการรับวัฒนธรรมการฟ้อนรำของกลุ่มอื่นเข้ามาปรับใช้   เช่น   จากประเทศเขมรซึ่งมีเขมรอพยพมาอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์   เมื่อมีคนไปชมก็ได้นำรูปแบบชองการฟ้อนรำเขมาเข้ามาถ่ายทอดสืบต่อกันมา   เช่น  ระบำสุ่ม  ระบำกะลา   และระบำร่ม  เป็นต้นประเภทของการฟ้อนรำในจังหวัดสุรินทร์สามารถจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่   ๆ  ได้  2  ประเภท  คือ  

การฟ้อนรำในประเพณีและพิธีกรรม   ประกอบด้วย         

  •   เรือมมม็วต         
  •   เรือมก็วลจองได       
  •    เรือมตรต  (เรือมมตรุษ)

การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ ์ได้แก่              

  • เรือมอันเร
  • เรือมอายัย   
  • เรือมกันตรึม       
  • ระบำสุ่ม         
  • ระบำร่ม            
  • ระบำกะลา          
  • เรือมศรีผไทสมันต์  
  • ระบำซาปาดาน  
  • เรือมกระโน้บติงตอง    
  • ระบำรำกรับ        
  • ลิเกเขมร              
  • เจรียงต่าง  ๆ           
  • การฟ้อนรำที่กล่าวมาทั้ง   2  ประเภท   ต่างก็มีต้นกำเนิดมาแตกต่างกันไปแต่ละอย่างก็มีลักษณะเด่นของตนเอง   บางอย่างก็มีลักษณะร่วมกันอยู่   การฟ้อนรำบางชนิดคนรุ่นใหม่คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นมาใหม่   เกิดเป็นระบำต่าง  ๆ   ขึ้นมามากมาย   การฟ้อนรำบางอย่างเกิดขึ้นมานานมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาด้วยวิธีการบอกเล่าหรือจดจำ   ทำตามครูแล้วมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป         
  • การฟ้อนรำในยุคแรก   ๆ  ของจังหวัดสุรินทร์   ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากความเชื่อทางศาสนาของชาวบ้านและการเฉลิมฉลองในงานเทศกาล   ชีวิตของคนไทยผูกพันกับสถาบันศาสนามากที่สุดเพราะต้องเกี่ยวข้องตั้งแต่เกิดจนตาย   ระบบความเชื่อจากศาสนาพุทธ   พราหมณ์   และความเชื่อดั้งเดิมที่ผสมผสานกลมกลืนกันได้   เข้ามามีส่วนกำหนดค่านิยมประเพณี   ตลอดจนพิธีกรรมต่าง  ๆ   ของชาวสุรินทร์    และได้มีการร่วมสังสรรค์ทางวัฒนธรรมขึ้นทำให้เกิดการฟ้อนรำขึ้น   ซึ่งแยกออกเป็น  2   ประเภทใหญ่  ๆ  คือ  

การฟ้อนรำในประเพณีพิธีกรรมและการฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ 

 การฟ้อนรำในประเพณีพิธีกรรม      ได้แก่

  • เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า   เรือมมม็วตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้คนกำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลา   ได้แม้จะป่วยมานาน   เมื่อจัดการให้มีการเล่นมม็วต   คนป่วยได้ยินเสียงดนตรีกระหึ่มเท่านั้นก็มีอาการดีขึ้น    ทำนองและจังหวะดนตรีที่ใช้มีหลายทำนอง   เช่น  ทำนองจังหวะไหว้ครู   ทำนองจังหวะไหว้ครูผู้เข้ามม็วต   ทำนองจังหวะออกรำ   ทำนองจังหวะรำดาบ   ทำนองและจังหวะเบ็ดเตล็ด   เป็นต้น  
  • การเล่นเรือมมม็วต    แล้วแต่ความเลื่อมใสศรัทธาในการเล่นจะมีครูมม็วตเป็นผู้ทำพิธีต่าง   ๆ   และเป็นผู้จัดระเบียบแนะนำสั่งสอนทั้งมม็วตเก่าและมม็วตเข้าใหม่   และเป็นผู้รำดาบ  ทำนองเพลง   กาปเป   ไล่ฟันผีหรือเสนียดนัญไร   จะต้องมีพี่เลี้ยงของมม็วตเท่าจำนวนผู้เล่น   ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการเล่นมม็วตใช้วงกันตรึมมีการไหว้ครูดนตรี   และจัดสร้างปะรำพิธีตลอดจนเตรียมอุปกรณ์ต่าง   ๆ   ที่จำเป็นต้องใช้ไว้ล่วงหน้า   
  • เรือมมองก็วลจองได        "มองก็วล"   แปลว่า   มงคลหรือสิ่งที่ดีงาม                              "จองได"   แปลว่า  ผูกข้อมือ                              มองก็วลจองได   หมายถึง  มงคลผูกข้อมือ   คือการนำเอาฝ้ายเส้นเล็ก  ๆ   พอให้ผูกกับข้อมือได้   มาทำพิธีให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และนำไปผูกข้อมือเพื่อแสดงถึงความผูกพัน   ความห่วงใย  ความเป็นมิตร   ความชอบพอ   และความพึงพอใจระหว่างผู้ให้และผู้รับทั้งสองฝ่าย                             

 เรือมมองก็วลได   เป็นการรำประกอบในพิธีบายศรีสู่ขวัญซึ่งแต่เดิมเป็นการรำแบบพื้นเมืองที่ไม่มีรูปแบบต่อมา   ได้รับการปรับท่ารำให้เป็นรูปแบบขึ้นมาโดยอาจารย์จากภาควิชานาฏศิลป์วิทยาลัยครูสุรินทร์เมื่อปี   2526   โดยปรับท่ารำจากท่าพื้นเมืองให้สวยงามขึ้น   เพลงร้องก็ใช้ทำนองเพลงกันตรึม   คำร้องเป็นภาษาเขมร                โอกาสที่ใช้แสดงใช้แสดง        ได้ทุกโอกาสในการทำพิธีบายศรีประเพณีบายศรีสู่ขวัญเป็นพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของชาวจังหวัดสุรินทร์ทั้งในมูลเหตุแห่งความดีและไม่ดี   เพราะถือว่าเป็นการเรียกขวัญให้มาอยู่กับตัว พิธีสู่ขวัญจัดได้ทั้งในโอกาสแสดงความชื่นชมยินดีและเป็นการปล่อยใจให้เจ้าของขัวัญจากคณะญาติมิตรและบุคคลทั่วไป   ได้ดีมีโชค   หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาเยี่ยมเยียนก็จัดพิธีสู่ขวัญให้เป็นต้น                ทำนองเพลงมองก็วลจองไดจะมีทำนองเฉพาะ   ส่วนเนื่อร้องมีหลายอย่างแตกต่างกันออกไป              

วิธีการแสดง             จะแสดงเป็นหมู่แบ่งออกเป็นคู่   ๆ  จะเป็น  3 -5  คู่ ถ้าหากเวทีกว้างก็เพิ่มผู้แสดงมากขึ้นการรำมองก็วลจองไดผู้แสดง จะต้องฟังจังหวะตะโพนหรือฉิ่งเป็นสำคัญ                   การแต่งกาย   แต่งกายแบบพื้นเมืองสุรินทร์   คือ   หญิงนุ่งผ้าถุงไหมพื้นเมือง ยาวกรอมเท้า   สวมเสื้อแขนกระบอก   มีผ้าสไบเฉียงไหล่แล้วมามัดรวมด้านซ้าย   ชายจะนุ่งผ้าโจงกระเบนสีพื้นหรือเรียกว่าผ้าหางกระรอก   สวมเสื้อคอกลม  ผ้าคาดเอว             

  • เรือมตรต  (หรือเรือมตรุษ)                     เรือมตรต   แปลว่า  รำตรุษ   นิยมเล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ผู้เล่นมีทั้งหญิงและชายไม่กำหนดว่ากี่คน   การแต่งกายจะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้   ในวงรำจะมีหัวหน้ากลอนเป็นผู้นำร้องจะจำยทเก่า   ๆ  หรือแต่งเองก็ได้   เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพรเจ้าของบ้านในวันขึ้นปีใหม่ของไทย   ต่อจากนั้นก็เป็นยทขมเชยยกย่องเจ้าของบ้านหรือบทเกี้ยวพาราสี   ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในคณะรำตรุษ   คือ   หัวหน้าตรุษซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือของคนในหมู่บ้าน   จะเป็นผู้พาคณะเรือมตรุษ ไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้านเรือนในหมู่บ้าน   เมื่อไปถึงบ้านใดถ้าได้รับเชิญขึ้นบ้านเจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงินทอง   สิ่งของนำไปบำรุงวัด   หรือสาธารณประโยชน์ในหมู่บ้านจะลาเจ้าของบ้านเดินทางไปหมู่บ้านอื่นต่อไป   การร้องรำไปทั่งหมู่บ้านต้องมีการกำหนดวันเอาไว้ว่าจะร้องขอบริจาคกี่วัน   และไปกี่หมู่บ้าน   เมื่อครบกำหนดหัวหน้าตรุษก็จะนำสิ่งขอองที่บริจาคไปถวายเจ้าอาวาสที่วัดเพื่อเป็นการทำบุญต่อไป 

  การฟ้อนรำในงานนักขัตฤกษ์ 

  •   เรือมอันเร                  เรือมอันเร   แปลว่า  รำสาก   แต่เดิมเรียกว่า  ลูดอันเร   ซึ่งหมายถึง  การเต้นสาก   ต่อมาได้พัฒนารูปแบบในด้านต่าง   ๆ  ทั้งทางด้านท่ารำ  ดนตรี   การแต่งกายใหม่ให้เป็นแบบแผนขึ้น   และเรียกว่า เรือมอันเร   การรำเรือมอันเรแต่เดิมท่ารำจะรำกันอย่างไรก็ได้   ผู้รำไม่จำกัดจำนวน   จะมีฝ่ายหญิงรำรอบสากฝ่ายชายจะเข้าไปโค้งและร่วมรำด้วยถ้าต้องการใกล้ชิดหญิงที่ตนรักก็จะพารำเข้าในสากที่กำลังกระทบกันอยู่ปัจจุบันได้ปรับรูปแบบท่ารำ   และจังหวะดนตรีให้เป็นแบบแผน   ดังนี้                   ทำนองจังหวะเรือมอันเรในสมัยก่อนมีเพียง   3  จังหวะ   ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเป็น  5   จังหวะ  คือ 
  • จังหวะไหว้ครู  (เกริ่นครู)
  • จังหวะกัตปกา  (เด็ดดอกไม้)
  • จังหวะจึงมุย  (รำสากทีละเท้า)
  • จังหวะโล้บโดง  (ร่มมะพร้าว)
  • จังหวะจึงปีร  (สองเท้า   หมายถึงรำเข้าสากทีละสองเท้า)  

เครื่องดนตรี    ที่ใช้ประกอบเรือมอันเรจะมีโทน   ปี่  ซอ  ตะโพน  ฉิ่ง  ฉาบ   กรับ   และอุปกรณ์ที่สำคัญในการเล่นเรือมอันเร   คือ  อันเรหรือสากตำข้าว  1   คู่  ไม้รองสาก  2  อัน   และคนตีสาก                   

การแต่งกาย    ในสมัยก่อนจะแต่งกายตามประเพณีนิยมของท้องถิ่น   ปัจจุบันก็แต่งกายตามประเพณีดั้งเดิมอยู่คือชายจะนุ่งโจงกระเบนสวมเสื้อคอกลมแขนสั้นมีผ้าคาดเอวและผ้าคล้องไหล่   โดยปล่อยชายผ้าไปด้านหลังทั้งสองชาย   หญิงจะนุ่งผ้าไหมพื้นเมือง   เช่น  ผ้าซิ่นปูม   ซึ่งเรียกว่า   "ซัมป็วตโฮล"   สวมเสื้อแขนกระบอก   มีผ้าสไบคาดทับเฉียงไปมัดรวมไว้ด้านซ้าย   มีเครื่องประดับ  เช่น   สร้อยคอ  ตุ้มหู  ดอกไม้ทัด   เป็นต้น         

  • เรือมอายัย                 เรือมอายัย   เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่ได้รับการถ่ายทอดมาขากประเทศเขมรมานาน   ตั้งแต่สมัยสงครามอินโดจีน ลักษณะการแสดงเรือมอายัยเป็นการร้องรำโต้กลอนเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาวคล้ายกับเพลงปาฏิพากย์ของภาคกลาง    นิยมเล่นใน งานเทศกาลต่าง   ๆ                   

วงดนตรี     ที่ใช้ประกอบในการเล่นเรือมอายัยจะใช้วงกันตรึม   ซึ่งประกอบด้วย  โทน  ซอ   ปี่อ้อ  ปี่ชลัย  ฉิ่ง  ฉาบ   และกรับ                           

ทำนองและจังหวะ     เรือมอายัย มีทำนองและจังหวะหลายอย่าง   แต่ที่นิยมคือ  อายัยลำแบ   เพราะเป็นทำนองที่เร่งเร้าสนุกสนาน              

  • เรือมกันตรึม                          เรือมกันตรึม   เป็นการฟ้อนรำประกอบทำนอง   เพลงกันตรึม   โดยมีวงดนตรีกันตรึม   ซึ่งถือว่า   เป็นแม่บทของเพลงพื้นเมืองแต่เดิมไม่มีรูปแบบท่ารำแน่นอน   ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้รำ   ต่อมากลุ่มศิลปินท้องถิ่นคือ   อาจารย์ผ่องศรี  ทองหล่อ   ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่   ให้เข้ากับจังหวะและทำนองเพลงกันตรึม   7  เพลงคือ              

1.   เพลงอาไยซาระยัง              

2.   เพลงเชิ้ป  เชิ้ป              

3.   เพลงกัญจัญเจก  (เขียดตาปาด)        

4.   เพลงอมตูก  (พายเรือ)        

5.   เพลงมม็วต                

6.   เพลงกัตปกา                     

7.   เพลงมองก็วตจองได

           การแต่งกาย      รำกันตรึมแบบเดิม   แต่งกายแบบพื้นเมืองใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง   หญิงจะสวมเสื้อแขนกระบอก   นุ่งผ้าถุงและห่มสไบ   ชายจะนุ่งโจงกระเบน   สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น   มีผ้าคาดเอวและคล้องคอโดยปล่อยชายไปด้านหลังทั้งสองชายเหมือนเรือมอันเร               การแต่งกายเรือมกันตรึม   ที่ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่   ผู้แสดงเป็นหญิงล้วนนุ่งผ้าถุงพื้นเมืองยาวครึ่งน่อง   มีผ้าขาวม้าไหมกระโจมอกจับจีบที่มุมผ้าด้านซ้ายเรือมกันตรึมที่ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่นั้นใช้รำในงานมงคลเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง   เป็นต้น               

  • ระบำสุ่ม                            ระบำสุ่ม   เป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการละเล่นของชาวเขมรจากศูนย์อพยพที่อำเภอกาบเชิง   โดยอาจารย์จากภาควิชานนาฏศิลป์วิทยาลัยครูสุริทร์   ซึ่งนำการแสดงของชาวเขมรอพยพมาปรับปรุงจัดเป็นชุดการแสดงขึ้น   เมื่อ  พ.ศ.  2524   ในหารปรับปรุงท่ารำจะยึดรูปแบบท่ารำเดิมเป็นหลัก                           

การแสดง      ระบำสุ่มเป็นการแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการประกอบอาชีพจับปลา   ใช้ผู้แสดงทั้งชายและหญิง   มีอุปกรณ์ประกอบการแสดง  คือ   สุ่ม  และ  เฉนียง                          

ดนตรี     ที่ใช้ประกอบใช้วงดนตรีพื้นเมืองสุรินทร์โดยนำทำนองดนตรีของเขมรจากศูนย์อพยพมาปรับใหม่จนมีลักษณะเฉพาะ    ฉาบ  และกรับ                           การแต่งกาย      เลียนแบบการแต่งกายของเขมร   คือฝ่ายชายจะสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น   สวมกางเกงขายาวสีดำ มีผ้าคาดเอวฝ่ายหญิงจะนุ่งโจงกระเบน   สวมเสื้อลูกไม้แขนยาวมีระบายที่เอวและแขนมีผ้าพาดตะเบงโอกาสที่ใช้แสดง   ใช้แสดงในโอกาสทั่ว  ๆ   ไปในงานประเพณีรื่นเริงต่าง   ๆ             

  • ระบำร่ม              ระบำร่ม   เป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการละเล่นของชาวเขมรอพยพ   ที่อำเภอกาบเชิง   เช่นเดียวกันกับระบำสุ่มในช่วงปี   พ.ศ.  2524                   

การแสดงระบำ    ใช้ผู้แสดงชายหญิงเป็นคู่   มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงคือร่ม   เป็นการหยอกล้อกันระหว่างหนุ่มสาว   การปรับปรุงท่ารำจะยึดรูปแบบท่ารำเดิมของชาวเขมรอพยพที่อำเภอกาบเชิง                               

การแต่งกาย     เลียบแบบการแต่งกายของชาวเขมรโดยฝ่ายหญิงสวมเสื้อคอกลมแขนในตัว   นุ่งผ้าจับจีบหน้านางเฉียงด้านข้าง   ใส่เครื่องประดับ  เช่น   สร้อย  ตุ้มหู  มีผ้าคาดเอว                              

ดนตรีที่ใช    ใช้ทำนองดนตรีพื้นเมืองของเขมรอพยพอำเภอกาบเชิง   จังหวัดสุรินทร์   มาปรับปรุงโดยยึดทำนองเพลงเดิมเป็นหลัก   แต่ใช้วงดนตรีพื้นเมืองสุรินทร์บรรเลง                              

โอกาสที่ใช้แสดง     ใช้แสดงในโอกาสทั่ว  ๆ   ไปในงานประเพณีรื่นเริงต่าง   ๆ       

  •   ระบำกะลา                               ระบำกะลาเป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการละเล่นของชาวเขมรอพยพ   ที่อำเภอกาบเชิง   จังหวัดสุรินทร์  เมื่อปี  พ.ศ.   2524   เช่นเดียวกับระบำสุ่มและระบำร่ม                             

การแสดงระบำกะลา   จะเน้นให้เห็นถึงความสนุกสนานและการหยอกล้อกันระหว่างหนุ่มสาวโดยมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงคือ   กะลามะพร้าว  คนละคู่   และใช้กะลามะพร้าว   เคาะตามจังหวะของเสียงเพลง   แปรแถวในรูปแบบต่าง  ๆ                               

ดนตรีที่ใช้    ใช้ทำนองเพลงพื้นเมืองของเขมรอพยพมาปรับปรุงโดยยึดทำนองเดิมเป็นหลัก   บรรเลงด้วยวงพื้นเมืองสุรินทร์เขมรประกอบ                 การแต่งกาย      เลียนแบบการแต่งกายระบำกะลาของชาวเขมรอพยพโดยผู้แสดงฝ่ายหญิงจะนุ่งผ้าถุงยาวกรอมเท้า   สวมเสื้อแขนกระบอกมีสไบพาดเฉียงบ่ามามัดรวมด้านข้าง   ฝ่ายชายสวมเสื้อคอกลมแขนสั้น   สุ่งกางเกงขายาวสีดำ   มีผ้าคาดเอว                            

โอกาสที่ใช้แสดง      ใช้แสดงในโอกาสต่าง  ๆ   เช่นเดียวกับระบำสุ่มและระบำร่ม              

  •   เรือมศรีผไทสมันต์                   เรือมศรีผไทสมันต์   เป็นชุดการแสดงที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยคณะครูโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนสิรินธร   จังหวัดสุรินทร์                              ระบำศรีผไทสมันต์ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำจากขั้นตอนต่าง   ๆ   ของการทอผ้าตั้งแต่เริ่มเลี้ยงตัวไหม   จนถึงขั้นตอนต่าง  ๆ   ของการทอผ้าตั้งแต่เริ่มเลี้ยงตัวไหม   จนถึงขั้นทอผ้าและนำผ้าไหมออกมาโชว์   ลีลาท่ารำตลอดจนท่วงทำนองเพลงสอดคล้องและสวยงามน่าชมมาก                              

ทำนองเพลงและดนตรี      ใช้ทำนองเพลงกันตรึมโดยเลือกเพลงหลาย   ๆ   เพลงที่มีอารมณ์เพลงต่างกันมาบรรเลงต่อเนื่องกันให้สอดคล้องกับท่ารำ                              

  การแต่งกาย       ผู้แสดงหญิงจะนุ่งผ้าถุงพื้นเมืองสุรินทร์ยาวกรอมเท้า   สวมเสื้อแขนกระบอก   โดยเอาชายเสื้อไว้ข้างในผ้าถุงแล้วคาดเข็มขัดทับ   ศรีษะโพกด้วยผ้าพื้นเมืองสุรินทร์   มีผ้าคล้องไหล่                              

โอกาสที่ใช้แสดง      ใช้แสดงในโอกาสต่าง  ๆ   ที่เป็นงานรื่นเริงทั่วไป                

  •   ระบำซาปาดาน                               ระบำซาปาดาน   เป็นระบำที่คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้ทำนองเพลงซาปาดาน   แล้วปรับปรุงขึ้นเป็นชุดการแสดงซึ่งผู้เขียนได้คิดร่วมกันกับอาจารย์แก่นจันทร์   นามวัฒน์  และอาจารย์สุจินต์   ทองหล่อ   ฝึกซ้อมให้แก่นักศึกษาวิชาเอกนาฏศิลป์วิทยาลัยครูสุรินทร์   เพื่อใช้แสดงในงาน   การสัมมนาเพลงพื้นบ้านและการละเล่นพื้นบ้านจังหวัดสุรินทร์   เมื่อปี  พ.ศ.  2526  ณ   หอประชุมวิทยาลัยครูสุรินทร์             ระบำซาปาดานใช้ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน   มีอุปกรณ์ประกอบคือ   พานดอกไม้ไว้โปรยอวยพรในตอนสุดท้ายเมื่อรำเสร็จ   ใช้แสดงเป็นการอวยพรเมื่อตอนจะจบหรือจะปิดการแสดง                      

โอกาสที่แสดง      จะใช้แสดงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและในโอกาสอวยพรต่าง   ๆ   

การแต่งกายของผู้แสดง       จะนุ่งผ้าถุงไหมพื้นเมืองครึ่งน่องผ้าขาวม้าไหมคาดกระโจมอก   จับจีบไว้ทางซ้ายมือแล้วปล่อยชายลง   ผมเกล้า  ทัดด้วยดอกไม้   ใส่เครื่องประดับเช่น   สร้อยคอ  ตุ้มหู   เข็มขัด 

ดนตรี     ใช้วงกันตรึมบรรเลงเพลงกัจปะกา   ซาปาดานประกอบในการแสดง

ลักษณะการแสดง       จะแสดงเป็นหมู่   โดยจัดเป็นคู่  ๆ  จุด   สำคัญอยู่ที่ความพร้อมเพรียงของผู้แสดงเป็นหลัก 

  • เรือมกโนปติงต็อง                             กโนปติงต็อง   แปลว่า  ตั๊กแตนตำข้าว   เป็นการแสดงเลียนแบบมาจากลีลาการเคลื่อนไหวของตั๊กแตนที่กำลังเกี้ยวพาราสีกัน   ผู้ที่คิดประดิษฐ์ท่าทางเลียนแบบตั๊กแตน   และนำมาถ่ายทอดให้กับคณะดนตรีพื้นบ้าน   คือนายเหือน  ตรงศูนย์ดี   อยู่ที่  บ้านโพธิ์กอง  ต.ไพล   อ.ปราสาท  จ.สุรินทร์                               การเต้นตั๊กแตนในตอนแรก   เป็นการเต้นที่สนุกสนานของเด็ก   ๆ  ในหมู่บ้าน   ขณะที่รวมกันอยู่หลาายคนในคืนเดือนหงายหรือเวลามีงาน   เช่น  งานทอดกฐิน  งานผ้าป่า   ฯลฯ 

เครื่องดนตรี      ที่ใช้ประกอบมี  ปี่   ซอ  ฉิ่ง  กรับ  กลองโทน   ทำนองร้องใช้เพลงพื้นเมือง   ทำนองเพลงอายัย                            

จำนวนผู้แสดง     ไม่จำกัดคู่   ต่างรำคลอเคลียกันเป็นคู่  ๆ                               

การแต่งกาย     ใช้ผ้าสีเขียวใบไม้ตัดเป็นชุดแต่งให้คล้ายตั๊กแตนตำข้าวถ้าผู้แสดงเป็นตัวเมียต้องมีกระโปรงสั้น   ๆ   ตัดให้บานเล็กน้อยสวมทับอีกชั้น   เพื่อให้ดูแปลกว่าผู้แสดงเป็นตั๊กแตนตัวผู้   อุปกรณ์ประกอบอย่างอื่นก็มีปีกของตั๊กแตน   ซึ่งทำด้วยกระดาษแข็งปิดด้วยกระดาษมันสีเขียว   ก่อนแสดงผู้รำจะสวมปีกไว้ด้านหลังเพื่อให้มีลักษณะคล้ายตัวตั๊กแตนจริง   ๆ   นอกจากปีกแล้วก็มีหัวทำเป็นหมวกหรือหน้ากากใช้สวมใส่                           

วิธีการแสดง                             จะแบ่งผู้แสดงเป็นตั๊กแตนตัวเมียและตัวผู้เริ่มแสดงโดยผู้แสดงเป็นตัวตั๊กแตนออกมาเต้นเป็นคู่   ๆ  ตามจังหวะดนตรี   ผู้เต้นต้องส่ายตัวไปมาด้วยท่าทางเลียนแบบลีลาของตั๊กแตนให้มากที่สุดในขณะเดียวกันก็จะเปลี่ยนท่าทางต่าง   ๆ   ของการเต้นไปตามจังหวะและคำร้องเพื่อให้เกิดความสวยงามตามจังหวะที่เร่งเร้าสนุกสนานผู้เต้นจะต้องใช้ส่วนต่าง   ๆ  ของร่างกาย  เช่น  มือ   เท้า  แขน  ขา  หน้าตา   ลำตัว  ในขณะการเต้นด้วย        

  •   ระบำกรับ                             ระบำกรับ      เป็นการรำที่ใชักรับเป็นอถปกรณ์ประกอบการแสดงโดยร่ายรำขับร้องประกอบกับเสียงกรับกระทบกัน เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า   จั๊กตะล็อก   ระบำกรับมีมานานตั้งแต่สมัยที่เมืองสุรินทร์ยังไม่มีเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์แบบใช้แบตเตอรี่ทุกรูปแบบ                            

ผู้แสดงระบำกรับ       ส่วนมากจะเป็นชาย เป็นการรำที่แสดงออกถึงความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับตนเองอย่าง ที่เรียกว่าศิลปินเพื่อศิลปะ    ในการรับกรับอาจจะมีผู้ที่สนใจอาสามาเป็นลูกคู่   ปรบมือ  ตีเกราะ   เคาะไม้ผสมโรงไปด้วย                            

โอกาสที่ใช้แสดง     นิยมแสดงในงานนักขัตฤกษ์งานมงคลทุกประเภท     

  •   ลิเกเขมร                  ลิเกเขมรมีลักษณะการเล่นเหมือนลิเกทั่ว   ๆ  ไป   คงได้รูปแบบมาจากการเล่นลิเกของภาคกลาง  

รูปแบบการเล่น     คล้ายกับลิเกภาคกลาง    เรื่องที่นำเล่นมักเป็นเรื่องนิทานที่เล่าสืบต่อกันมา   แต่ใช้ภาษาเขมรทั้งหมด 

เครื่องดนตรี      ที่ใช้ประกอบการเล่น   มี  กลองรำมะนา  ซออู้   และเครื่องประกอบจังหวะ   เช่น  ฉิ่ง  ฉาบ  กรับ   ก่อนการเล่นจะมีการไหว้ครูและออกแขกเหมือนกับลิเกทั่วไป